"เรือนแพสุขจริง อิงกระแสธาราหริ่งระงมลมพลิ้วมา กล่อมพฤกษาดังว่าดนตรี.... วิมานน้อยลอยริมฝั่ง ถึงอ้างว้างเหลือจะรำพัน หิวหรืออิ่มก็ยิ้มพอกัน ชีวิตกลางน้ำสุขสันต์.. โอ้สุวรรค์ในเรือนแพ"
หลายคนที่เห็นเนื้อเพลง "เรือนแพ" ข้างต้น คงจำเนื้อร้องและทำนองได้ดี เป็นเพลงที่คุณ ชรินทร์ นันทนาคร ร้องไว้หลายปีเต็มที ตั้งแต่ผู้เขียนยังเด็ก ๆ จนเดี๋ยวนี้นับเป็นเวลาประมาณ 30 ปีได้ เพลงเก่า ๆ ที่สะท้อนชีวิตท่ามกลางสายน้ำอันเย็นฉ่ำนี้ หาฟังได้ยากเต็มที่ในยุคของดิสโก้และเบรคแด็นซ์ในทำนองเดียวกัน "เรือนแพ" อันเป็นชีวิตริมน้ำ โดยนำเอาไม้ไผ่ลำใหญ่หลาย ๆ ลำมามัดรวมกันให้แน่นซึ่งเรียกว่า ลูกบวบ ทำเป็นทุ่นลอยบนผิวน้ำ
บางครั้งก็เอาไม้มาทำเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าลอยน้ำ แล้วปูทับไม้ไผ่ หรือกล่องนั้นด้วยไม้กระดาน สร้างตัวเรือนบนลูกบวบ ตัวเรือนมีลักษณะเตี้ยไม่สูงมาก ส่วนใหญ่จะปลูกสร้างคล้ายกันคือ มีหลังคาแหลมแบบเรือนไทย เรือนแพแต่ละหลังมีเนื้อที่จำกัด บางหลังก็แบ่งเป็นห้องเล็ก ๆ แต่ส่วนมากมักมีห้องเดียวใช้ประโยชน์ภายในเนื้อที่ อันจำกัดนี้อย่างครบครัน เป็นทั้งห้องนอน รับแขก นั่งเล่น ทานอาหาร จิปาถะ นอกจากจะเป็นที่พักพิงอาศัยแล้ว เรือนแพบางหลังยังสร้างขึ้นเพื่อทำเป็นร้านค้าลอยน้ำไปด้วย
ในปัจจุบัน บ้านลอยน้ำตามแม่น้ำลำคลองซึ่งมักพบเห็นได้ในจังหวัดทางภาคเหนือของไทย เช่น พิษณุโลก นครสวรรค์หรือแม้แต่ที่คลองเจ้าเจ็ดแห่งอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อันเป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีเรือนแพทรงไทยเรียงรายแน่นขนัด บัดนี้ ภาพที่น่ามองเหล่านั้นบางตาลงไปมาก เรือนแพบางส่วนกลายเป็นเรือนมีเสาแต่ก็ยังคงปลูกอยู่ในน้ำ เนื่องจากสาเหตุหลายอย่าง เช่น สภาพการขึ้นลงของกระแสน้ำเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะมีการสร้างเขื่อนและประตูน้ำที่บังคับการขึ้นลงของน้ำไม่ให้ไหลเวียนได้ตามธรรมชาติ อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ถีบ ตัวสูงขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการหาไม้ไผ่มาเปลี่ยนลูกบวบและค่าซ่อมบำรุงโป๊ะหนุนเรือนแพซึ่งต้องกระทำทุกปีสูงตามไปด้วย
ในปัจจุบัน บ้านลอยน้ำตามแม่น้ำลำคลองซึ่งมักพบเห็นได้ในจังหวัดทางภาคเหนือของไทย เช่น พิษณุโลก นครสวรรค์หรือแม้แต่ที่คลองเจ้าเจ็ดแห่งอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อันเป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีเรือนแพทรงไทยเรียงรายแน่นขนัด บัดนี้ ภาพที่น่ามองเหล่านั้นบางตาลงไปมาก เรือนแพบางส่วนกลายเป็นเรือนมีเสาแต่ก็ยังคงปลูกอยู่ในน้ำ เนื่องจากสาเหตุหลายอย่าง เช่น สภาพการขึ้นลงของกระแสน้ำเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะมีการสร้างเขื่อนและประตูน้ำที่บังคับการขึ้นลงของน้ำไม่ให้ไหลเวียนได้ตามธรรมชาติ อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ถีบ ตัวสูงขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการหาไม้ไผ่มาเปลี่ยนลูกบวบและค่าซ่อมบำรุงโป๊ะหนุนเรือนแพซึ่งต้องกระทำทุกปีสูงตามไปด้วย
ใกล้ เที่ยงก็จะมีเรือขายก๋วยเตี๋ยวบ้าง ขนมบ้าง ร้องขายอยู่แจ้ว ๆ ยามเย็นเวลาโพล้เพล้ใกล้อาทิตย์ตก ชุมชนริมน้ำบางแห่งก็จะเป็นแหล่งรวมของกินนานาชนิด ในลำคลองเต็มไปด้วยเรือแจวและพายชุมนุมกันมากมาย ยิ่งเย็นมากยิ่งมีเรือมาก ส่วนใหญ่ขายอาหารรสอร่อย ๆ ทั้งคาวหวาน มีทั้งเรือก๋วยเตี๋ยว กาแฟ และแม้แต่ของหวานจำพวกทองหยิบทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง เรียกได้ว่าเป็นตลาดน้ำยามคั่ำคืนทีเดียว บางแห่งที่ไม่ใช่ชุมชนค้าขายของชาวเรือ ก็จะเป็นทางผ่านของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือกลับจากการค้าขาย หรือกำลังจะไปยังตลาดน้ำยามคำบ้าง ซึ่งจะมีเสียงทักทายระหว่างชาวบ้าน หนุ่มสาว เด็กเล็ก ผู้เฒ่าผู้แก่ที่กำลังอาบน้ำบริเวณบันไดท่าน้ำกับแม่ค้าพ่อค้าเหล่านั้นเป็น
ชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ริมน้ำ เป็นชีวิตที่สงบเรียบง่าย มีไมตรีจิตเอื้อเฟื้อเพื่อแผ่ สะท้อนให้เห็นปรัชญาชีวิตของคนไทยอันมีผลมาจากหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สอนให้คนไทยพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต อยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีรักใคร่ปรองดอง เห็นอกเห็นใจและให้อภัยกัน อีกทั้งบรรยากาศอันสงบร่มเย็นของกระแสน้ำที่ไหลผ่าน ช่วยชโลมจิตใจให้ชาวบ้านเย็นฉ้ำตามกระแสน้ำนั้นด้วย ซึ่งสิ่งหล่านี้ได้สูญสิ้นไปจากเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ ๆ นานแล้ว

