บทที่ 14
นโยบายต่างประเทศของจีน
สาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเองตลอดมาหลักการพื้นฐานของนโยบายนี้คือ พัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรที่เสมอภาคและอำนวยประโยชน์แก่กันกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างกระตือรือร้นบนพื้นฐานของหลัก ๕ ประการแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เสริมความสามัคคีร่วมมือกันกับประเทศต่างๆในโลกที่สามคัดค้านลัทธิครองความเป็นเจ้าและพิทักษ์สันติภาพของโลก
รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนฉบับใหม่ซึ่งที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติสมัยที่ ๕ ชุดที่ ๕ ได้ลงมติผ่านเมื่อเดือนธันวาคมค. ศ. ๑๕๘๒ ระบุไว้ว่า “ ประเทศจีนยืนหยัดในนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเอง ยืนหยัดในหลัก ๕ ประการคือเคารพอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของกันและกัน ไม่รุกล้ำซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน เสมอภาคและอำนวยประโยชน์แก่กันและอยู่ร่วมกันอย่างสันติพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตและการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับประเทศต่างๆยืนหยัดคัดค้านจักรวรรดินิยม ลัทธิครองความเป็นเจ้าและลัทธิล่าเมืองขึ้น เสริมความสามัคคีกับประชาชนประเทศต่างๆทั่วโลก สนับสนุนการต่อสู้ที่เป็นธรรมของประชาชาติที่ถูกกดขี่ และประเทศที่กำลังพัฒนาในการช่วงชิงและพิทักษ์เอกราชแห่งชาติ พัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ พยายาม เพื่อพิทักษ์สันติภาพของโลกและส่งเสริมภารกิจที่ก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ”
หลักการที่ประเทศจีนยืนหยัดในนโยบายต่างประเทศเช่นนี้ กำหนดขึ้นโดยลักษณะพิเศษของรัฐและสังคม ในระยะเวลาอันยาวนานตั้งแต่ค. ศ. ๑๘๔๐ จนถึงค. ศ. ๑๙๔๙ ประเทศจีนได้ทนทุกข์ทรมานจากภัยพิบัติแห่งสงครามรุกรานของจักรวรรดินิยมจนบอบช้ำทีเดียว จากประสบการณ์อันทุกข์ยากลำบากที่ถูกรุกรานและถูกกดขี่มาเป็นเวลาร้อยกว่าปี ประชาชนจีนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เมื่อไม่มีเอกราชแห่งชาติ ก็ไม่อาจมีสิทธิประชาธิปไตยของประชาชนและไม่อาจสร้างสรรค์ประเทศให้เข้มแข็งไพบูลย์ได้ ในกระบวนการแห่งการปฏิวัติและการสร้างสรรค์ประ- เทศอันยาวนาน ประชาชนจีนก็มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ชะตากรรมของประชาชนจีนมีความเกี่ยวพันกับชะตากรรมของประชาชนทั่วโลกอย่างสนิทแน่น การได้มาซึ่งชัยชนะในการปฏิวัติและการสร้างสรรค์ของจีนไม่อาจแยกออกได้จากการฟันฝ่าต่อสู้ของประชาชนประเทศต่างๆ เพื่อช่วงชิงอนาคตอันสว่างไสวของโลก เมื่อค. ศ. ๑๙๔๙ ประชาชนจีนได้เลือกเอาหนทางสังคมนิยม และได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น การสถาปนาระบอบสังคมนิยมเป็นการทำลายต้นตอทางสังคมที่จีนยอมอยู่ใต้การกดขี่ของต่างประเทศใดๆ อย่างถึงราก และก็ได้ทำลายต้นตอทางสังคมที่จีนจะดำเนินการรุกรานต่างประเทศด้วยรูปแบบใดๆ อย่างถึงรากด้วย เพื่อที่จะสลัดพ้นจากภาวะอันล้าหลังทั้งทางเศรษฐกิจและทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจากอดีต เพื่อบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การป้องกันประเทศ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทัน สมัยประจักษ์เป็นจริงขึ้นในศตวรรษนี้ ประเทศจีนต้องการให้มีสภาพแวดล้อมอันสันติทั่วโลกที่มั่นคงและยาวนาน กำลังป้องกันประเทศของจีนรับใช้การพิทักษ์สันติภาพของโลก และพิทักษ์การสร้างสรรค์สังคมนิยมของประเทศเราตลอดมา เราไม่มีทหารไปตั้งประจำอยู่ในต่างประเทศเลยแม้แต่คนเดียว ไม่ได้ยึดครองดินแดนของประเทศใดๆเลยแม้แต่กระเบียดนิ้วเดียว ไม่เคยรุกล้ำอธิปไตยของประเทศใดเลย และมิได้ยัดเยียดความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคให้แก่ประเทศใดเลย
รัฐบาลและประชาชนจีนมีความเห็นอยู่ตลอดมาว่า ประเทศที่มีระบอบสังคมต่างกัน ควรอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ในข้อตกลงฉบับหนึ่งระหว่างจีนกับอินเดียเมื่อเดือนเมษายนค. ศ. ๑๙๕๔ เป็นครั้งแรกที่ได้เสนอหลักการเคารพบูรณภาพเหนือดินแดนและอธิปไตยของกันและกัน ไม่รุกล้ำซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน เสมอภาคและอำนวยประโยชน์แก่กันและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เมื่อเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้น นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลได้ไปเยือนอินเดียและพม่าใน คำแถลงร่วมที่ได้ลงนามกันกับนายกรัฐมนตรีเนห์รู และที่ลงนามกันกับนายก รัฐมนตรีอูนุ ได้ริเริ่มส่งเสริมหลัก ๕ ประการแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติอย่างเป็นทางการ ในการประชุมประเทศเอเซีย-อาฟริกาครั้งแรก ซึ่งก็คือ“ การประชุมบันดง” เมื่อ ค. ศ. ๑๙๕๕ นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลได้ย้ำหลักการเหล่านี้อีกครั้งหนึ่งด้วยความพยายามร่วมกันของประเทศที่เข้าร่วมการประชุม เจตนารมณ์ของหลักการเหล่านี้ได้บรรจุไว้ในแถลงการณ์ของการประชุมนี้ ตั้งแต่นั้นมาหลัก ๕ ประการนี้ได้ซึมลึกเข้าสู่จิตใจผู้คนมากขึ้นทุกที และปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นหลักการพื้นฐานที่ชี้นำความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีระบอบสังคมต่างกัน โดยยึดถือเจตนา -รมณ์แห่งหลักการเหล่านี้ ประเทศจีนได้สร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรและการร่วมมือกับประเทศต่างๆ มากมายรวมทั้งประเทศสังคมนิยมด้วยกันและประเทศที่มีระบอบสังคมต่าง
รัฐบาลและประชาชนจีนคัดค้านลัทธิครองความเป็นเจ้าอย่างเด็ดเดี่ยว ความจัดเจนทางประวัติศาสตร์และความเป็นจริงในปัจจุบัน ได้บอกให้ประชาชนจีนทราบว่า การพิทักษ์สันติภาพของโลกกับการคัดค้านลัทธิครองความเป็นเจ้าจะแยกออกจากกันมิได้ ขณะที่พิทักษ์สันติภาพของโลก ก็จำเป็นต้องต่อสู้กับการรุกรานและการขยายอิทธิพลของลัทธิครองความเป็นเจ้าที่คุกคามสันติภาพของโลกพร้อมกันไปด้วย ซึ่งก็คือ การยืนหยัดคัดค้านลัทธิครองความเป็นเจ้าเท่านั้น จึงจะพิทักษ์สันติภาพของโลกได้ ดังนั้น การคัดค้านลัทธิครองความเป็นเจ้ากับการพิทักษ์สันติภาพของโลก จึงเป็นภาระหน้าที่อันสำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหน้าประชาชนทั่วโลก ถ้าประชาชนทั่วโลกสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และยืนหยัดดำเนินการต่อสู้อย่างไม่ย่นย่อท้อถอยแล้ว การพิทักษ์สันติภาพของโลกก็มีความเป็นไปได้ในด้านกิจการระหว่างประเทศ ประเทศจีนมีความคิดเห็นตลอดมาว่า ไม่ว่าประเทศใหญ่หรือประเทศเล็ก ควรมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน คัดค้านการเมืองที่ถืออำนาจเป็นใหญ่และพฤติการณ์ของพวกครองความเป็นเจ้าที่ประเทศใหญ่รังแกประ -เทศเล็ก ประเทศเข้มแข็งข่มเหงประเทศอ่อนแอ ประเทศร่ำรวยกดขี่ประเทศยากจน กรณีพิพาทระหว่างประเทศทั้งปวงควรแก้โดยสันติด้วยวิธีเจรจากัน ไม่ใช้กำลังอาวุธหรือคุกคามด้วยกำลังอาวุธ ขณะเดียวกัน ก็ประกาศอย่างเปิดเผยว่า ประเทศจีนจะไม่เป็นอภิมหาอำนาจตลอดไป และจะไม่วางตัวเป็นเจ้าตลอดไป

